เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมนะ เมื่อวานวันสงกรานต์ใช่ไหม วันนี้วันผู้สูงอายุ แล้ววันนี้เป็นวันพระด้วย วันผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุ เราอยู่มา รัตตัญญู ผู้ผ่านราตรีมามาก ผู้มีประสบการณ์มามาก

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ เวลาเช้าขึ้นมา เรายังตื่นขึ้นมาได้ เรายังมีชีวิตอยู่ไง ชีวิตนี้สำคัญมาก เรายังตื่นมา เรายังมีชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ สอนถึงว่า ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ลมหายใจ คิดถึงความตายตลอดเวลา ถ้าคิดถึงความตายตลอดเวลานะ คนเราไม่ประมาทไง

ถ้าคนมันประมาท วันสงกรานต์เขาจะไปเยี่ยมครอบครัว ด้วยความประมาทเลินเล่อของเขา ตายเกือบ ๒๐๐ แล้ว มันเศร้า นี่ด้วยความประมาทไง แล้วคนที่เสียชีวิตไปแรงงานทั้งนั้นน่ะ เป็นหัวหน้าครอบครัวทั้งนั้นน่ะ เป็นหลักของครอบครัวทั้งนั้นน่ะ แล้วด้วยความประมาทไง

เรากลับไปใช่ไหม เราจะกลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ เราจะกลับไปเพราะกตัญญูกตเวที มีความคิดดีๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ แต่มันรื่นเริงไง เวลามันสนุกครึกครื้นของมันไง มันขาดสติมันไง

นี่ก็เหมือนกัน วันผู้สูงอายุๆ คนที่สูงอายุขึ้นมา เขาสูงอายุมาเพราะเหตุใดล่ะ เขาสูงอายุมา เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาดูแลชีวิตของเขา ถ้าเขาดูแลชีวิตของเขาเพื่อประโยชน์กับเขาไง

ดูสิ เวลาตอนนี้หน้าแล้ง เวลาหน้าแล้งขึ้นมาก็แล้งเต็มที่เลย เวลาฝนตก ฝนตกก็น้ำท่วมเต็มที่เลย มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดีของมัน ความพอดีของมันน่ะ ความพอดี เราอยากได้ความพอดีไง

ดูสิ เวลาเราเดินทาง เขาจะไปทางเครื่องบิน ตอนนี้แบบว่าโลว์คอสต์ราคามันถูก ถ้าไปทางน้ำมันก็ชักช้าใช่ไหม ถ้าไปทางบก ถนนหนทาง ถนนหนทางถ้าเขาบำรุงรักษา มีคนดูแลรักษา การคมนาคมมันจะสะดวกใช่ไหม ถนนหนทางก็ปล่อยให้มันเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีใครดูแลมันเลย ไอ้เราจะไปไหนเราก็ไปด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม

มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ความพอดี มันพอดีตรงไหนล่ะ ถ้ามันพอดี พอดีกับชีวิตของเรานี่ไง ถ้าชีวิตของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมา ใครเป็นคนดูแลมัน มนุษย์ทั้งนั้นน่ะ คนมีน้ำใจ คนมีน้ำใจ ดูสิ คนมีน้ำใจเขาปลูกต้นไม้คนเดียวทั้งประเทศเลย เขาทำของเขา ทำของเขาอยู่คนเดียว จนคนเห็นเขาทำคุณงามความดี เชื่อใจเขาแล้วไปทำกับเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เรามีน้ำใจกับคน น้ำใจของเรา เราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน เวลามาศาลาก็ศาลาเดียวกัน เรามีน้ำใจต่อกัน น้ำใจต่อกันน่ะ ใครๆ มันก็อยากสะดวกอยากสบายทั้งนั้นแหละ ไอ้ความสะดวกสบายมันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เราเสียสละให้เขา เสียสละให้เขา เรามีน้ำใจไง คำว่า น้ำใจ” นี้สำคัญมาก สำคัญนะ ถ้ามีน้ำใจต่อเขา จิตใจเป็นสาธารณะ มันความเห็นต่าง ความเห็นต่างได้

นี่เราไม่ใช่ความเห็นต่างของใครเลย ใครจะมาอย่างไรก็เรื่องของเขา ของเราคนเดียวมันก็ขวางโลกไปทั่ว ถ้าขวางโลก

ดูสิ ธรรมะของหลวงตา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป ท่านละกามราคะไปแล้ว ท่านบอกว่า เรือนว่าง แต่มีคนอยู่ เรือนมันว่าง ว่างหมดเลย ทุกอย่างว่างหมด แต่ไอ้เราไปขวางอยู่นั่นน่ะ ถ้าขวางอยู่นั่นแล้วเราจะออกอย่างไรล่ะ

ถ้าเรือนว่างยังมีคนอยู่นั้นคนที่มีสติสัมปชัญญญะ ถ้ามันเริ่มขึ้นไปมันจะอรหัตตมรรค ขึ้นมาอรหัตตผล อรหัตตมรรคเพราะอะไร อรหัตตมรรคเพราะมีสติปัญญาขึ้นมา มันถึงเห็นว่าเราไปขวางอยู่ในเรือนว่างนั้น แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญานะ มันทิฏฐิมานะขึ้นไปว่ามันเป็นคนสำคัญ มันเป็นคนมีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา นั่นน่ะประมาท เห็นไหม

เกือบ ๒๐๐ ศพแล้ว ๗ วันอันตราย นี่ด้วยความประมาท แต่คนมีเวรมีกรรม เราไม่ได้ประมาทเลย เราขับรถของเราด้วยสติพร้อมนะ เขามาจากไหน เขาข้ามเลนมาสองเลนสามเลนมาชนเราตูมเลยน่ะ เวลามันถึงวาระของมัน ถ้ามันถึงวาระของมัน เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราก็หลบหลีกของเรา ต้องหลบหลีกของเรา เห็นไหม

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลามีเวรมีกรรมต่อกัน คำว่า มีเวรมีกรรมต่อกัน” เขามีของเขา แต่เราไม่มีกับเขา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทาทั้งนั้นน่ะ ใครจะพูดอย่างไรมันเรื่องของเขา แต่ถ้าจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเรานะ เรามีสติมีปัญญา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระนะ เวลาพระไป ไปธุดงค์ ไปต่างๆ ไปประสบต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเลย “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอโดนโลกธรรมรุนแรง คือคนที่เขาถากถางเธอ เธอจงดูเราเป็นตัวอย่าง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเผยแผ่ไป เจ้าลัทธิต่างๆ เขามีลาภสักการะของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไปด้วยสัจจะด้วยความจริงนะ

คนแต่โบราณกราบภูเขา กราบดวงอาทิตย์ กราบไฟ กราบต่างๆ เพราะว่าเขาไม่มีที่พึ่งของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “สิ่งนั้นเราไม่ให้กราบนะ ให้เวลาคนเราตายไป ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน ทำคุณงามความดีถึงกัน” เห็นไหม จิตสู่จิต จิต ความระลึกถึงมันจะระลึกถึงกัน

แต่คนโบราณเขากราบอะไร เขากราบพระอาทิตย์ เขากราบภูเขา กราบไฟ เขากราบต่างๆ กราบต่างๆ เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีที่พึ่ง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปโต้แย้ง โต้แย้งก็โต้แย้งด้วยเหตุผลอย่างนี้ ถ้าโต้แย้งด้วยเหตุผล ด้วยสัจจะด้วยความจริง นี่เวลาเผยแผ่ไปๆ จนด้วยเหตุผลทั้งนั้นน่ะ เวลาพราหมณ์เขาอาบน้ำ อาบน้ำเขาบอกล้างบาปๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราก็ล้างบาป แต่เราไม่ล้างบาปอย่างนี้ เราล้างบาปของเราด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของเรา เวลาเขากราบทิศๆ เราก็กราบเหมือนกัน แต่เราไม่กราบแบบนี้ เรากราบทิศเบื้องบนที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทิศเบื้องหน้าคือพ่อแม่ของเรา ทิศเบื้องซ้ายเบื้องขวาเราบริหารจัดการของเรา เออ! เราก็กราบทิศเหมือนกัน แต่ไม่กราบแบบนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอย่างนั้น เขามีการโต้แย้งมหาศาล เพราะลาภสักการะของเขา ถ้ามีความเชื่อถือมีความศรัทธาที่ไหนขึ้นมามันก็เกิดลาภสักการะของเขาใช่ไหม เวลาเขาเสื่อมลาภขึ้นมา เขาจ้างคนมาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจ้าง จ้างให้นายธนูมายิง แล้วก็จ้างนายธนูไปฆ่าคนที่ไปยิงพระพุทธเจ้า เขาทำของเขาทุกๆ ปัญหา

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนไง “ถ้าเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน คือว่าไปที่ไหนเขาติฉินนินทา เขารังแก เขาเบียดเบียนนะ ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง”

เราจะบอกว่า พวกเราเคารพศรัทธากันขนาดไหน พวกเราเคารพศรัทธาขนาดไหน ขนาดที่ว่าในชีวิตของท่าน ท่านยังเจอประสบการณ์อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้านะ คำว่า เป็นพระพุทธเจ้า” มีฤทธิ์มีเดช มีทุกอย่างเลย

เวลาเศรษฐีในสมัยพุทธกาลเขาเห็นความแหลกเหลว เขาว่าคงไม่มีหรอกพระอรหันต์น่ะ เขาก็เลยไปได้ไม้จันทน์มา แกะไม้จันทน์ไว้แล้วก็เอาไม้ไผ่ ๒ ลำต่อขึ้นไป ถ้าใครเป็นพระอรหันต์ให้เหาะขึ้นไปเอา

ไอ้พวกเดียรถีย์มาเขาก็เตี๊ยมกันมาเลยนะ พอหัวหน้าก็ทำจะเหาะนะ ไอ้ลูกน้องบอก “ไม่ต้องหรอก แหม! ของแค่นี้ ไม่ต้องหรอก” คือมันเหาะไม่ได้ พอมันเหาะไม่ได้ขึ้นมา เศรษฐีนั่นเขาก็ทุกข์ใจ “หมดแล้วแหละ ครูบาอาจารย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงหมดแล้วแหละ สัจธรรมที่ว่ามรรคผลมันมี มันคงไม่มีแล้วแหละ” เขาก็น้อยใจของเขา

พระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์เดินบิณฑบาตผ่านไปผ่านมาทุกวันน่ะ พระโมคคัลลานะบอกลูกศิษย์เหาะขึ้นไปเอาสิ ลูกศิษย์พระโมคคัลลานะบอกพระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไปเอาสิ ต่างคนต่างเกี่ยงกันให้เหาะขึ้นไปเอา เหาะขึ้นไปเพื่ออะไร เหาะขึ้นไปเพื่อถนอมน้ำใจเศรษฐีนั้น ถนอมน้ำใจของคนดี คนดีเขาอยากใฝ่ดี เขาอยากหาของจริง แต่เขาไม่เชื่อใจว่าสิ่งไหนจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงไง ไอ้พวกที่ขี้โม้มันก็มาทำท่าว่าจะเหาะๆ แล้วมันก็เตี๊ยมกันมาว่า “ไม่ต้องเหาะหรอก ของแค่นี้เองให้เขาเอาลงมาให้” พูดอย่างไรเขาก็ไม่เอาลงมาให้

สุดท้ายแล้วลูกศิษย์พระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไปฉวยบาตรนั้นแล้ววน ๓ รอบ ตั้งแต่นั้นมานะ เวลาเขาจะใส่บาตร ใส่บาตรเขาไม่ใส่ให้หรอก เขาบอกต้องเหาะให้ดูก่อน ร่ำลือไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงห้ามไง ห้ามไม่ให้ทำ ทำอย่างนี้ไม่ให้ทำ เพราะมันไม่ใช่อริยสัจ เราสอนกันเรื่องทุกข์ เรื่องสมุทัย นิโรธ มรรค สอนกัน ผู้ที่รัตตัญู ในหัวใจของเราน่ะมันมีสิ่งใด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ความที่มันจะดับไป มันดับไปด้วยสติด้วยปัญญาของคน เราฝึกหัดหัวใจของเราไง

ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธนะ บอกว่า ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วจะได้บุญมหาศาลเลย แล้วชาวพุทธเราก็ทำบุญกับพระอรหันต์ หลวงตาก็เป็นพระอรหันต์ คนทำบุญกับพระอรหันต์มหาศาลเลย แล้วทำไมเราไม่ร่ำรวยเหนือยุโรป เหนือฝรั่ง เหนือหมดเลย เพราะศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งมีฤทธิ์มีเดช

นี่ไง เราก็คิดไปนั่นไง แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันย้อนกลับมาที่นี่นะ ย้อนกลับมาในหัวใจของเรานะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลคนใดทำหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเราได้แล้ว มันมั่นคงของมัน แล้วมันเป็นที่พึ่งอาศัยของเขาได้ นี่สัจจะมันอยู่ที่นี่

ถ้าสัจจะมันอยู่ที่นี่ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเรื่องฤทธิ์ๆ ท่านบอกว่า ถ้าจะเรื่องฤทธิ์ จะโชว์ฤทธิ์กันน่ะ ให้บันลือสีหนาท ให้ธรรมะเป็นทาน ให้ปัญญากับเขา ให้ปัญญากับเขา สิ่งใดที่มันเศร้าหมอง สิ่งใดที่มันขุ่นเคืองในหัวใจ ถ้ามีปัญญา มันจะสำรอกมันจะคายของมันออก ให้ปัญญากับเขา นี่ให้ธรรมเป็นทานๆ ปัญญากับเขา ให้สติปัญญากับเขา ให้น้ำใจกันน่ะ เรามีน้ำใจต่อกัน เรามาแล้วเรามีน้ำใจต่อกัน เราทำสิ่งใดต่อกัน วันผู้สูงอายุๆ มัชฌิมาปฏิปทา ให้มันสมดุลที่นี่แล้ว ผู้ที่จะให้น้ำใจต่อเขามันต้องเห็นว่าให้เพราะอะไร

เวลาเขาให้กัน ดูสิ ให้ทานๆ เวลาให้ทานขึ้นมา เราหามาเกือบเป็นเกือบตาย ของของเราเสียสละทานไปทำไม

เสียสละทานไปก็เพื่อหัวใจนี้ไง ไอ้วัตถุเก็บไว้ที่ไหนมันก็ล้นฟ้า ไปดูในโกดังสินค้าสิ มันล้นเต็มโกดังเลย มันไม่มีใครไปเอา ไปไหนมามันก็กองอยู่นั่นน่ะ เดี๋ยวมันก็หมดอายุ เดี๋ยวเขาก็โยนทิ้ง

แต่ผู้ที่มีเจตนามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาแสวงหาสิ่งนั้นมา เขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา เขาไม่เสียสละของเขา เขาเสียสละวัตถุนั้นไปเพื่อหัวใจของเขา เพราะหัวใจของเขามีคุณค่ามากกว่าวัตถุสิ่งนั้น

วัตถุสิ่งนั้น ดูสิ คนทุกข์คนจนมา เราก็น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่มีสิ่งใดเพื่อสละทาน เศรษฐีกุฎุมพีเขาทำของเขา ทานของเขาต้องประณีต ทานของเขาต้องวิเศษ ทานของเขาเพราะอะไร เพราะจิตใจเขาสูงส่ง เขาสละของเขา สุดท้ายแล้วเสียสละวัตถุอย่างนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อหัวใจดวงนั้นไง หัวใจดวงนั้นน่ะ หัวใจทุกข์ๆ ยากๆ หัวใจที่มันเจ็บซ้ำน้ำใจอยู่นี่ มันจะออกทางไหน ทางออกของมันอยู่ที่ไหน ทางออกของความทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทางออกของความทุกข์เรา

ไอ้ที่บุญกุศลๆ เขาเรียกบุญนะ บุญนี้เป็นบุญกิริยาวัตถุ กิริยาวัตถุมันเป็นอามิสไง สิ่งที่เป็นอามิส มีบุญมีคุณขนาดไหน ดูสิ พระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไป เหาะขึ้นไปเขาก็เห็นเขาก็รู้นั่นน่ะ เหาะขึ้นไปเขาก็เห็น เขาทำอะไรต่อล่ะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เอหิภิกขุ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” ถ้าเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์”

ถึงที่สุดแห่งทุกข์ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง แก่นของศาสนามันอยู่ที่นี่ แต่มันก็ต้องมีประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เราสอนเด็กน้อย เด็กน้อยเข้ามาก็ต้องมีระดับของทาน มีระดับของศีล มีระดับของภาวนาใช่ไหม ระดับของภาวนา เราเห็นน้ำใจกัน ด้วยสัปปายะ ๔ คนที่มีทิฏฐิมานะเสมอกัน เรามีการแสวงหาแบบเดียวกัน เราจะไม่ล่วงกัน เราจะดูแลกัน ไม่กระทบกระเทือนกัน ต่างคนต่างทำความสงบระงับ ถ้ามีความสงบระงับ กายวิเวก เพื่อเข้าไปสู่จิตวิเวก ถ้ากายมันไม่วิเวก เบียดเบียนกัน จิตมันจะวิเวกได้อย่างไร กายมันวิเวกอยู่ แต่จิตมันไม่วิเวก จิตมันดิ้นรนอยู่นี่ โดนกระทบกระเทือนอยู่นี่ แต่ถ้ากายวิเวกกับจิตวิเวก ถ้าจิตวิเวกแล้ว จิตวิเวก ถ้ามีสติมีปัญญา มีครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงสอนให้เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าสัมมาสมาธิ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นๆ จิตไม่หวั่นไหว จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นนี้เป็นสัมมาสมาธิ ยกสัมมาสมาธิขึ้นสู่สติปัฏฐาน ๔ สัมมาสมาธิเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จะเป็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มรรค ๔ ผล ๔ มรรค ๔ ผล ๔ นี่อัตตสมบัติ

ดูสิ เวลาญาติโยมร่ำรวยมหาศาลมีเงินมีทองเป็นเศรษฐีโลก เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เศรษฐีธรรม หลวงตาท่านชื่นชมหลวงปู่ลีมากว่าเศรษฐีธรรมๆ เพราะใจท่านเป็นธรรม ธรรมทั้งแท่ง ธรรมทั้งแท่ง เศรษฐีธรรม เขาวัดกันที่ไหนล่ะ

เขาวัดกันว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเป็นเศรษฐีธรรมจริงมันต้องสงบ มันต้องระงับ มันต้องมีความสุขจริงๆ จากคุณธรรมอันนั้น นี่วิหารธรรม วิหารธรรมไง คนที่มีคุณธรรมในหัวใจมันจะมีวิหารธรรม มันมีความสุข วิมุตติสุข ถ้ามันเป็นพระอรหันต์มันเกิดวิมุตติสุข สุขอันนั้นสุขแท้ๆ น่ะ สุขที่ไม่เจือด้วยอามิส สุขที่ไม่เจือไปด้วยโลกธรรม ๘ สุขที่ไม่ต้องให้ใครมานับถือ ไม่ต้องให้ใครมาเชื่อฟัง มันเป็นสุขในตัวของมันเอง นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริง แก่นของศาสนา แก่นของศาสนามันอยู่ที่นี่ไง

ถ้าแก่นของศาสนาอยู่ที่นี่ แล้วแก่นของศาสนา ครูบาอาจารย์ท่านมีแก่นของศาสนา ถ้ามีแก่นของศาสนาก็อยู่เฉพาะแก่นของศาสนา มายุ่งกับประชาชนทำไมล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว แรงปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไรล่ะ คือว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการได้พระอรหันต์มมา ๖๐ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก” คือชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ลาภสักการะ การสรรเสริญนินทา “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก” โลกนี้ไม่มีอำนาจเหนือกับใจดวงนี้ “และพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์” เทวดา อินทร์ พรหม สิ่งที่เป็นทิพย์สมบัติน่ะ พ้นไง

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก”

โลกคืออะไร โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือโลกทัศน์ โลกคือจิตของเรา ไอ้โลกข้างนอกมันแปรสภาพของมันไปธรรมชาติของมันน่ะ ไม่มีมนุษย์ ไม่มีคนในโลกมันก็อยู่ของมันได้ มันปรับสภาพของมันได้ แต่ถ้ามนุษย์ไม่มีโลกสิ มนุษย์อยู่ไม่ได้ มนุษย์ไม่มีอาหารอยู่ไม่ได้

โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก ในดวงใจทุกดวงใจเร่าร้อนนัก ในดวงใจทุกดวงใจเร่าร้อนนัก

แล้ววันนี้วันผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุ วันผู้สูงอายุเราก็เคารพบูชากัน แล้ววันนี้เป็นวันพระด้วย ถ้าวันพระ รัตตัญญู เรามีสติมีปัญญาของเรา เรารักษาหัวใจของเรา นี่ฟังธรรม เห็นไหม เวลาโยมแสวงหามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่เสียสละ เสียสละ ปฏิคาหก ผู้ให้ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะที่ให้ เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงดิ้นรนกันมาไง เราดิ้นรนกันมา แสวงหามาเพื่อเสียสละ เสียสละแล้วเขาใช้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอใจ ปฏิคาหก ผู้ให้ ผู้รับรับแล้วด้วยศีล ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ รับแล้วใช้สอยประโยชน์นั้น ใช้สอยประโยชน์นั้นเพื่อประโยชน์นะ ปฏิคาหก เราดิ้นรนกันมา เราดิ้นรนกันมาไง เพื่อพัฒนาหัวใจของเรานี่ไง นี่ไง พระพุทธศาสนาไง

ศาสนามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึก สารพัดนึก ถ้าโยมระดับของทานก็ได้ของทาน ถ้าพูดถึงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาหาคนชี้ทาง เขาหาคนบอกทางไง

แล้วคนชี้ทาง คนบอกทาง จะไปทางเครื่องบินใช่ไหม ถ้าเครื่องบิน ถึงเวลาจะไปทางลัด ทางลัดจะไปไวๆ กันใช่ไหม แล้วถ้าเวลาไปแล้วเครื่องยนต์มันขัดข้องมันก็ตกตายหมดไง ถ้าไปทางเรือ ทางเรือก็ช้าเหลือเกิน ถ้าจะไปทางถนน ไปทางคมนาคม มันก็ต้องขวนขวายไง ถ้าเราไม่มีรถ เราก็ต้องเดินไป ถ้าทางของใคร มัคโค ทางอันเอกไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านถางทางไว้ ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้เป็นหนทาง หนทางของใคร หนทางของจิตไง จิตมันจะก้าวเดินไปอย่างไร

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกคนที่เกิดมามีกิเลส ทุกคนที่เกิดมามีอวิชชา มีความไม่รู้จักตนเอง แล้วทางอันเอก มัคโคอยู่ที่ไหน ทางอันเอก มาวัดมาวาเพื่อมาหาทางอันเอกไง เพื่อหาทางออกของใจไง ให้ใจนี้มีช่องทางออกไง หัวใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยาก พระพุทธศาสนาหาทางออกให้ได้ ถ้าหาทางออกให้ได้ หาทางออกมันต้องมีสติมีปัญญา ต้องตั้งใจ ต้องตั้งสติ แล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อค้นคว้าหาตนเองไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง

สิ่งนี้เวลาเด็กน้อยมาวัดมาวาก็มาเพื่อวัฒนธรรม มาเพื่อสังคม มาแล้วมาเจอหมู่คณะ หมู่คณะ คบบัณฑิตๆ คบคนที่สนใจในแนวทางเดียวกัน คบคนที่สนใจในการชักนำกันไป ชักนำกันไปสิ่งที่ดีๆ ไง ถ้าชักนำไปสิ่งที่ดีๆ เขาคบบัณฑิตๆ เขาไม่คบพาล

คบพาลเขาก็พาไปเหลวแหลก แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ในหัวใจ ความคิดที่ไม่ดี มันคบพาล ถ้าความคิดที่ดีมันคบบัณฑิตๆๆ เรามีสติปัญญาขึ้นมา เรารักษาขึ้นมา มันเกิดมรรคเกิดผล เกิดมรรคเกิดผลจากการศึกษา การศึกษาก็เป็นภาคทฤษฎีจำมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีความจริงขึ้นมา มันมีองค์ความรู้ มันมีสัจจะความจริง มีทักษะในหัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคบเพื่อน คบเพื่อนน่ะ เพื่อนพากันไปมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ใช่ไหม เวลามันปฏิบัติขึ้นไปมันจะมีของมันขึ้นไป เห็นไหม ปุถุชนคนหนาล้มลุกคลุกคลาน ตั้งหัวใจของตนเองไม่ได้ กัลยาณปุถุชน จิตตั้งมั่นๆ เพราะอะไร เพราะมันกัลยาณปุถุชน รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นบ่วงดอกไม้แห่งมาร

รูป รส กลิ่น เสียง ไม่มีอะไรเลย นี่เป็นบ่วงของมาร เป็นบ่วงดอกไม้ของมารมันรัดคอเอาอยู่นี่ เวลาเรามีสติมีปัญญาขึ้นมาเป็นกัลยาณปุถุชนนะ ถ้ายกขึ้นโสดาปัตติมรรค จิตสงบแล้ว จิตตั้งมั่นแล้ว ยกขึ้นสู่ความเห็นของมัน ปัญญาจะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ ปัญญาไม่ใช่ปัญญาโง่ๆ อย่างนี้หรอก ไปไหนก็จะไปเครื่องบิน เครื่องบินเพราะมันถึงเร็วไง ไปตกตายหมดเลย ไม่มีใครไปถึงที่หมายสักคน ไอ้คนล้มลุกคลุกคลานขวนขวายพยายามกระเสือกกระสนไปน่ะ ไปถึงที่หมายหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ เราก็ไม่มาวัดมาวากัน ครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ที่ท่านทำของท่านน่ะ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่าง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำไว้เป็นแบบอย่างให้เห็นว่าท่านมีความสุขจริงๆ ยืนยันด้วยชีวิตของท่าน ท่านเกิดในป่า ท่านตรัสรู้ในป่า แล้วท่านตายไปในป่า ท่านไม่มาคลุกคลีกับโลกเลย แล้วท่านมีความสุขทั้งชีวิตของท่านได้อย่างไร นี่มันเป็นการยืนยัน ยืนยันในชีวิตของท่าน ยืนยันในการประพฤติปฏิบัติ แล้วท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้นี่ไง ให้เราก้าวเดิน ก้าวเดินตามไง

แล้วเรา เวลาเราจะแสวงหา เราก็แสวงหาพระป่า แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เราแสวงหาทั้งนั้นน่ะ ดูสิ โยมมาวัดก็มาทุกวัน ทำไมพระเราต้องบิณฑบาตล่ะ พระเราบิณฑบาตมาก็หน้าที่ของพระไง พระก็ยังต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ไง พระต้องมีอริยวินัยไง ธุดงควัตร เขามีกติกาของเขา เขาไม่ลุ่มหลง ไม่เห็นแก่สังคม ถ้าสังคม สังคมคือเรื่องโลก แต่สังคมเขามาวัดไง

นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ชีวิตเป็นแบบอย่างไง แล้วเราไปแล้วเราก็ต้องวัดจากพฤติกรรมของเรา เราต้องพัฒนาพฤติกรรมของเราเพื่อให้เป็นประโยชน์กับเราไง ถ้าประโยชน์กับเรา จิตใจมันก็พัฒนาขึ้นใช่ไหม

ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ความนึกคิด อยู่ที่น้ำใจที่มันพัฒนาขึ้น มันมีสติปัญญาขึ้น มันจะพัฒนาตัวเองขึ้น ถ้ามันพัฒนาตัวเองขึ้น เวลาจะไปภาวนามันก็จะได้มากขึ้น แล้วเวลามันได้ขึ้นมา เห็นไหม สุขที่ไม่เจือด้วยอามิส

ทุกอย่างโยมจะมีความสุขได้จะต้องเสพ จะต้องมีสิ่งใดพอใจถึงจะเป็นความสุข แต่ถ้าจิตมันสงบ มันสงบในตัวมันเอง มันไม่ต้องอาศัยอะไร ไม่ต้องอาศัยอะไร มันสุขในตัวมันเอง แล้วถ้าวิมุตติสุขมันสุขอย่างนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันเกิดจากหัวใจที่ทุกข์ๆ ร้อนๆ อยู่นี่ มันเกิดที่หัวใจที่มันทุกข์ยากอยู่นี่ เกิดที่หัวใจที่มันเหลวไหลอยู่นี่ แต่ถ้ามันมีสติปัญญามันจะพัฒนาขึ้นมาได้

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านชมหลวงปู่ขาวว่าจิตใจกัดเพชรละเอียดเลย กัดเพชรขาดเลย เพชรมันแข็งขนาดไหน แต่ความสัจจะของคน ความตั้งมั่นของคน คนมันทำได้ขนาดนั้นน่ะ แล้วทำได้ประโยชน์ เพราะหลวงปู่ขาวท่านก็มีวิมุตติสุขในใจของท่านจริง ท่านทำของท่านได้จริง เราปรารถนาอย่างนั้น เราถึงกระเสือกกระสนมาทำบุญกุศลนะ ทำบุญกุศลแล้ว สิ่งนี้เป็นทาน มันจบแล้ว แต่เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมมันเป็นข้อเท็จจริง

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนไว้ว่า กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเชื่อแม้แต่เราพูด อย่าเชื่อ ต้องไปค้นคว้า ต้องไปประพฤติปฏิบัติ ต้องให้เป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงขึ้นมา จิตใจมันจะสูงขึ้นพัฒนาขึ้น ผู้สูงอายุ สูงอายุต้องให้สูงด้วยคุณธรรม จิตใจที่มันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องมีคุณธรรมในตัวของมัน มันถึงจะเอาตัวมันรอด เอวัง